วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558


                   ประวัติความเป็นมาไชยา

                     ประวัติศาสตร์เมืองไชยาระยะต่อจากนั้นก็เงียบหายไป  จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2328 พม่ายกกองทัพมาซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อสงคราม เก้าทัพ บุกเข้าตีเมืองชุมพร  แล้วตีเรื่อยจนถึงเมืองไชยา พร้อมกับเผาเมืองเสียจนถาวรวัตถุเป็นซากปรักหักพังเหลือไว้เป็นอนุสรณ์
                     เมืองไชยาสมัยต่อมาได้ตั้งเมืองอยู่ริมทะเลที่พุมเรียง แม้ว่าผู้คนจะน้อยแต่ก็มีสภาพเป็นเมือง สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ  เจ้าเมืองเป็นชาวบ้านไหน ก็จะตั้งเมืองที่นั่น  ทำให้เมืองไชยามีที่ตั้งเมืองหลายแห่ง  ครั้น 10 สิงหาคม พ.ศ.2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้เสด็จมาเยี่ยมพสกนิกรชาวเมืองไชยา ที่พุมเรียง  ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู ดังนี้  พักอยู่ที่พลับพลาจนบ่าย 2 โมง จึงออกเดินไปตามถนนหน้าบ้านพระยาไชยา  ผ่านหน้าศาลากลางไปเลี้ยวลงที่
วัดสมุหนิมิตและเข้าไปดูวัด พระสงฆ์ทั้งในวัดและวัดอื่นมานั่งรอรับอยู่ในศาลาอยู่ในศาลาเต็มทุกศาลา ได้ถวายเงินองค์ละกึ่งตำลึงบ้าง องค์ละบาทบ้างทั่วหน้ากัน แล้วออกเดินต่อไปตามท้องถนนท้องตลาด  ตลาดเมืองไชยาไม่เป็นโรงแถวปลูกติดๆกันเหมือนเช่นเมืองสงขลา  ซึ่งมีจีนแห่งใดมักจะเป็นโรงแถวติดๆกันเช่นนั้น  แต่ที่ตลาดเมืองไชยาขายของหน้าเรือนหรือที่ริมประตูบ้านระยะห่างๆกัน  มีผ้าพื้นบ้าง  ผ้าขาวม้าราชวัตรบ้าง  ยกไหมยกทองก็มี เป็นของทอในเมืองไชยา  แต่ผ้าพื้นไม่มีมากเหมือนอย่างเมืองสงขลา  มีขนมมีขายมาก ชื่อเสียงเรียกกันเพี้ยนๆกันไปกับที่เมืองสงขลา  บ้านเรือนก็ดูหนาแน่น มีเรือนฝากระดานบ้าง แต่ตีรั้วหน้าบ้านโดยมาก  ที่เกือบจะสุดปลายตลาดมีวัดโพธาราม เป็นวัดโบราณที่มีพระครูกาแก้วทองอยู่  พระอุโบสถหลังคาชำรุด  ยังแต่ผนังมุงจากไว้  พระครูกาแก้วอายุ 80 ปี ตาไม่เห็น หูตึง แต่รูปร่างยังอ้วนพีเปล่งปลั่ง  จำกาลเก่าได้มาก  ปากคำอยู่ข้างจะแข็งแรง เรียบร้อย เป็นคนช่างเก็บของเก่าอย่างเช่น ผ้าไตรฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว มีผ้ากราบปักเป็นต้น ก็ยังรักษาไว้ได้และเล่าเรื่องราวในการงานที่มีที่กรุงเทพฯประกอบสิ่งของได้ด้วย เรียกชื่อคนทั้งชั้นเก่าชั้นใหม่เต็มชื่อเสียงแม่นยำ ได้สนทนากันก็ออกชอบใจจึงรับที่จะ        ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถซึ่งพระครูได้ตระเตรียมไว้บ้างแล้วนั้นให้สำเร็จ ได้มอบการให้พระยาไชยาเป็นผู้ทำ  เพราะอิฐกระเบื้องเขามีอยู่แล้ว และได้ถวายเงินพระครูชั่งห้าตำลึง  ข้างในเรี่ยรายกันเข้าในการปฏิสังขรณ์บ้าง  เจ้าสายมาทำบุญวันเกิดที่วัดนี้  ได้ถวายเงินในการปฏิสังขรณ์สองชั่ง รวมเงินประมาณสี่ชั่ง ออกจากวัดเดินไปจนสุดตลาด ยังมีทางต่อไปอีกหน่อยจึงจะถึงทุ่งไชยา  ตั้งแต่บ้านพระยาไชยาไปจนถึงทุ่งไชยาประมาณ 30 เส้น กลับโดยทางเดิมมาพักที่พลับพลา  พระยาศักดิ์วามดิฐ เป็นผู้ช่วยพระยาไชยาจัดการเลี้ยงทั่วไป  อยู่ข้างจะดีกว่าทุกแห่ง  เวลา 5 โมงครึ่งกลับมาเรือ
                    เมื่อ พ.ศ.2440 ก็จัดเขตการปกครองประเทศใหม่ ออกเป็นมณฑลจึงรวมเมืองไชยาเข้ากับเมืองชุมพร เมืองหลังสวน รวมเรียกว่ามณฑลชุมพร  มีศาลาการตั้งอยู่ที่เมืองชุมพร  ต่อมาปี พ.ศ.2442  ก็ประกาศรวมเมืองไชยาและเมืองกาญจนดิษฐ์เข้าเป็นเมืองเดียวกัน  มีศาลากลางตั้งอยู่ที่บ้านดอนแล้วเรียกเมืองนี้ว่า เมืองไชยา ส่วนที่พุมเรียงให้เรียก อำเภอพุมเรียง แต่ราษฎรก็ยังเรียกว่าเมืองไชยาอยู่ มิได้เรียกเมืองไชยาที่ตั้งที่บ้านดอนว่า เมืองไชยา จึงแก้ไขให้เรียกเมืองที่ตั้งที่บ้านดอนว่า สุราษฎร์ธานี และเปลี่ยนนามอำเภอพุมเรียงว่า อำเภอเมืองไชยา
                    ต่อมาปี พ.ศ.2478 ได้ย้ายที่ทำการ อำเภอเมืองไชยาจากที่ตั้งเมืองเก่า (พุมเรียง)  มาตั้งที่บ้านดอนโรงทอง(ตำบลตลาดไชยา)จนถึงทุกวันนี้ และในปี พ.ศ.2480  ก็ได้เปลี่ยนอำเภอเมืองไชยา มาเป็น
 อำเภอไชยา เพราะอำเภอที่เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดเท่านั้นถึงจะเรียกว่า อำเภอเมือง......ได้ และต่อมาเมื่อมีการตัดทางรถไฟสายใต้ผ่านอำเภอไชยา  การคมนาคมสะดวกขึ้น ผู้คนก็ได้เริ่มมาตั้งทำมาหากินอยู่ใกล้ทางรถไฟมาขึ้น กลายเป็นชุมชนใหญ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น